บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่11
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 08:30-12:30 น.
ความรู้ที่ได้รับ
- มีการสอบกลางภาค
- การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
- การศึกษาปกติทั่วไป
- การศึกษาพิเศษ
- การศึกษาแบบเรียนร่วม
- การศึกษาแบบเรียนรวม
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ : เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม ภาษาอังกฤษคือ Integrated Education หรือ Mainstreaming : การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน ครูปฐมวัยและครูการศึกษาทางการพิเศษเหมือนกัน
การเรียนร่วมบางเวลา ภาษาอังกฤษคือ Integration : การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา เด็กพิเศษได้มีโอกาศแสดงออกและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้
การเรียนร่วมเต็มเวลา ภาษาอังกฤษคือ Mainstreaming : เป็นการจัดให้เด็กพิเศษในฌรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน เด็กพิเศษได้รับารจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ มีเป้าหมายเพื่อเด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสดใส ความเอาใจใสเช่นเดียวกันทุกคน
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม ภาษาอังกฤษคือ Inclusive Education : การศึกษาสำหรับทุกคน รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson 2007 : การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก การสอนที่ดีเป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่หาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆทาง

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน การเรียนรวมเป็นแนวคิดอย่างหนึ่งที่โรงเรียนต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใด เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพามาโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ รวมกัน ทีุ่กคนต่างๆเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน ทุกคนยอมรับว่าทีผู้พิการ อยู่ในสังคมและเข้าเหล่านั้นต่างๆก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกคิ โยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของกรศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย : ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย : การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง จากอาการที่แดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก : เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ : พ่อแม่รู้ดีเกี่ยวกับตัวเด็กพ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูย้ำครุพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้ ครูช่วยให้ผู้ปกครองเห็นแนวทางในการพัฒนาเด็ก
ครูทำอะไรได้บ้าง : ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนากรต่างๆ ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย สังเกตเด็กอย่างมีระบบ จดบันทึกพฤติกรรมเด็กป็นช่วงๆ
การสังเกตอย่างมีระบบ ไม่มีใครสามารถสัมเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู ครูเห็นเด็กในสถานการต่างๆช่วงเวลายาวนานกว่าต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู้ที่ปัญหา
การตรวจสอบ : จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไรเป็นทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้นบอกได้ว่าเรื่องใดว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวัง ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้ ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้ พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต : การนับอย่างง่ายๆ การบันทึกต่อเนื่องการบันทึกไม่ต่อเนื่อง
การนับอย่างง่ายๆ : นับจำนวณครังของการพฤติกรรม กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง : ให้รายละเอียดได้มากเขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่งหรือช่วงกิจกรรมหนึ่งโดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำหรือช่วยเหลือ



บันทึกไม่ต่อเนื่อง : บันทึกลงบัตเล็กๆเป็นการบันทึกเกี่ยวพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากไป : ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่องมากกว่าชนิดองความบกพร่อง พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด้กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ : การตัดสินใจครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
...........................................................................



กิจกรรมวาดดอกบัว เป็นการดูรายละเอียดของดอกบัวว่าเรานั้นเก็บรายละเอียดได้ครบหรือไม่
เปรียบเหมือนว่าดอกบัวเป็นเด็กเราจะเก็บรายละเอียดได้มากแค่ไหน เป็นการฝึกการสังเกตของครูผู้สอน
น้องช้อแก้ว น่าร๊ากกก
💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝💝
การประยุกต์ใช้
ฝึกการสังเกตเด็กให้ละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น เพราะจะมีประโยชน์กับเรา รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของครูที่เรานั้นควรทำ
การประเมิน
ประเมินตนเอง >> ตั้งใจสอบ และเรียนและทำกิจกรรมมีการจดบันทึก
ประเมินเพื่อน >> เพื่อนตั้งใจในการทำข้อสอบและเรียนทำกิจกรรม
ประเมินอาจารย์ >> อาจารย์เตรียมการสอนมาเป็นอย่างดีมีกิจกรรมต่างๆมาให้ทำ ให้ความรู้ยกตัวอย่างทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น