วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3

วันศุกร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 08:30 - 12:30 น. 


ความรู้ที่ได้รับ
  • ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ >> แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
  1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่วๆไปว่า เด็กปัญญาเลิศ ภาษาอังกฤษคือ Gifted Child เป็นเด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา มีความสามารถถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน พัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน เรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย อยากรู้อยากเห็ฯอย่างจริงจัง ชอบซักถาม มีเหตุผลในการแก้ไขปัญหา การใช้สามัญสำนึก จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ มีความรู้การใช้คำศัพทิเกินวัย มีความคิดริเิ่ม มีวิธีการคิดแปลกๆ เป็ฯเด็กที่ตื่นตัวเฉียดแหลมว่องไว และช่างสังเกต มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน และสุดท้ายชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน 
  2. ความแตกต่างระหว่างเด็กฉลาด กับเด็กปัญญาเลิศ มีดังนี้ 
  • กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
  • เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หรือภาษาอังกฤษ คือ Children with Intellectual Disabilities หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่มคือ 
1) เด็กเรียนช้า >> สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้ เป็นเด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ ขาดทักษะในการเรียนรู้ มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย และมีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 มาสาเหตุของการเรียนช้าดังนี้
1.1. ภายนอก : เศรษฐกิจของคอบครัว การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก สภาวะทางด้านอารามร์ของคนในครอบครัว การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ และ วิธีสอนไม่มีประสิทธิภาพ

1.2. ภายใน : พัฒนาการช้า การเจ็บป่วย

2) เด็กปัญญาอ่อน >> มีระดับสติปัญญาต่ำ มีพัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง และอาการแสดงก่อนอายุ 18 ปี พฤติกรรมการปรับตน การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตภายในบ้าน การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน การควบคุมตนเองการนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน การใช้เวลาว่าง การทำงาน การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น 
เด็กปัญญาอ่อน >> แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
  1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 : ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
  2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ  20-34 : ไม่สมารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้อต้นง่ายๆ กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R ย่อมาจาก Custodial Mental Retardation 
  3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปาานกลาง IQ 35-49 : พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า  T.M.R ย่อมาจาก Trainable Mentally Retarded 
  4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 : เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R ย่อมาจาก Educable Mentally Retarded 
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก ความคิดและอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่ายรอคอยไม่ได้ ทางงานช้า รุนแรงไม่มีเหตุผล อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน และช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome)  มีสาเหตมาจาก ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 คือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง  มีอาการดังนี้
1. ศีรษะแล็กและแบน มีคอสั้น หน้แแบนดั้งจมูกแบน ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต ช่องปากแคบ ลิ้นยื้น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ มือกว้าง นิ้วสั้น และเส้นลายมือตัดขวางนิ้วก้อยโค้งงอ ช่องระหว่างนิ้วเทาที่ 1 และ 2 กว้าง มีความผิดปกติในระบบต่งๆของรางกาย บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง อารมณ์ดีดูแลง่าย ร่าเริง เป็นมิตร มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง 
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์  มีดังนี้
  1. การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างตั้งครรภ์ 
  2. อัลตราซาวด์
  3. การตัดชิ้นเนื้อรก
  4. การเจาะน้ำคร่ำ
  • เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน หรือภาษาอังกฤษ คือ Children with Hearing Impaired หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจนมีประเภท ดังนี้ 
1. เด็กหูตึง >> เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้4กลุ่ม ดังนี้
  1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB : เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
  2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB : เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
  3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB : เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเรื่องเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยินเสียง มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมๆกัน มีพัฒนาทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ พูดไม่ชัดเสียงเพี้ยนบางคนก็จะไม่พูด
  4. เด็กหูตึงระดับรุนแรงได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB : เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง  เด็กมีกพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด 

2. เด็กหูหนวก >> เป็นเด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้ ไม่สามารถเข้าใจหรือภาษาพูดได้ ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง ไม่พูด มักแสดงท่าทาง พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูดหรือจ้องหนาผู้พูด รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
  • เด็กที่บกพร่องทางการเห็น หรือมีภาษาอังกฤษ คือ Children with Visual Impairments  หมายถึง เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30องศา จำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 
  1. เด็กตาบอด : เด็กที่ไม่สามรถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท มรลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด แคบกว่า 5 องศา 
  2. เด็กตาบอดไม่สนิท : เด็กมีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 ,6/60 ,20/200 หรือน้อยกว่านั้น มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น 
เดินงุ่มง่ามชนและสดุดวัตถุ มองเห็นสีผิดไปจากปกติ มักบ่นว่าปวดหัวศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา ก้มศีรษะชิดงาน หรือขอเลานที่วางอยู่ตรงหน้า เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

.....................................................................

รูปภาพประกอบการเรียน




ตัวอย่างเด็ก ปัญญาเลิศ + VDO ประกอบ



เสือน้อยน่ารักที่เป็นดาวน์ซินโดรม + VDO ของเคนนี่



เด็กน้อย Piper ที่เห็นพ่อแม่ครั้งแรก + VDO


กิจกรรมอ่านปาก โดยให้เพื่อนออกไปแสดงตัวอย่าง 

ระดับเสียง

 
คูเปอร์ ได้ยินเสียพ่อแม่ครั้งแรก


รวมคนหูหนวกที่ได้ยินเสียงครั้งแรกในชีวิต (น้ำตาซึมเพราะมีความอินหนักมาก 😭)


ลักษณะเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม

💀    💀    💀    💀    💀    💀   💀   💀    💀    💀  

การนำความรู้มาประยุกต์ใช้

รู้ถึงลักษณะของเด็กพิเศษทำให้มีความเข้าใจสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ได้ในอนาคต หรือถ้าเจอจริงก็จะทำความเข้าใจเด็กมาขึ้นไม่มองเขาเป็นสิ่งที่ผิดปกติ แต่มองเขาเป็นเด็กที่เหมือนกับเด็กทั่วๆไปที่ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน

การประเมิน

ประเมินตนเอง >> ตั้งใจในการเรียนมีการจดบันทึก

ประเมินเพื่อน >> เพื่อนๆตั้งใจเรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม

ประเมินอาจารย์ >> อาจารย์เตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี มีการนำ VDO มาให้เห็นภาพ มีการยกตัวอย่าง และ บอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์เดิม


E  N  D

  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น